วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

15 สมุนไพรรักษาเบาหวาน บำรุงสุขภาพก็ได้ ลดน้ำตาลก็ดีไม่เบา


สมุนไพรรักษาเบาหวาน

          โรคเบาหวาน รักษาได้ด้วยวิถีธรรมชาติ ต้อนรับสุขภาพดีและลดน้ำตาลในเลือดได้ด้วยสมุนไพรสรรพคุณเลอค

          เรื่องใหญ่ที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าหากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไปก็เสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวานขึ้นตา หรือแม้แต่โรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นนอกจากจะรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งแล้ว ผู้ป่วยหลาย ๆ คน ก็ยังเสาะหาวิธีควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อร่างกาย ซึ่งอีกหนทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือการรับประทานสมุนไพร เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องโรคเบาหวานได้แล้วก็ยังได้ของแถมเป็นสุขภาพที่ดีอีกด้วย อย่างเช่นสมุนไพรทั้ง 15 ชนิดนี้ที่สามารถรักษาอาการของโรคเบาหวาน พร้อมพ่วงด้วยประโยชน์เพื่อสุขภาพดี ๆ อีกมากมาย 

1. มะระขี้นก

สมุนไพรรักษาเบาหวาน

          มะระขี้นก สมุนไพรไทยที่ขึ้นชื่อในเรื่องการลดระดับน้ำตาลในเลือด เรียกว่าเป็นสมุนไพรที่เป็นมิตรกับผู้ป่วยโรคเบาหวานอย่างแท้จริง ด้วยเพราะสารซาแรนติน (Charatin) ในผลมะระขี้นกที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ต้านอาการของโรคเบาหวาน และช่วยเพิ่มการหลั่งของอินซูลินจากตับอ่อน เพิ่มความทนทานต่อกลูโคสของร่างกาย และช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลในเลือด

          นอกจากนี้มะระขี้นกยังช่วยยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดส  (Alpha-glucosidase) อันเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน ขณะที่การรับประทานมะระขี้นกเป็นประจำก็สามารถชะลอความผิดปกติของไต และความเสื่อมของเส้นประสาทในร่างกายจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงสะสมเป็นเวลานาน ไม่เพียงเท่านั้นยังชะลอการเกิดโรคต้อกระจกในผู้ป่วยเบาหวานด้วย นอกจากนี้มะระขี้นกยังมีคุณประโยชน์ดี ๆ ต่อร่างกายอีกมากมาย และสามารถนำมารับประทานได้แบบสด ๆ เป็นผักเคียงน้ำพริกได้เลย ดีแบบนี้ไม่หามาลองก็คงจะไม่ได้แล้วล่ะ

2. ตดหมูตดหมา

สมุนไพรรักษาเบาหวาน

          แม้ว่าชื่ออาจจะแปลกไปสักนิด แต่สรรพคุณในการลดระดับน้ำตาลในเลือดนั้นไม่มีบกพร่องเลยแม้แต่น้อย โดยมีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดของใบตดหมูตดหมาสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการเพิ่มการหลั่งของอินซูลินในร่างกาย อีกทั้งสมุนไพรชนิดนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกเพียบ และลดไขมันในเลือดได้ ขณะที่สรรพคุณทางยาพื้นบ้านก็ยังมีอีกไม่น้อย ไม่ว่าจะช่วยล้างพิษ แก้ท้องอืด ท้องผูก ถ่ายพยาธิ แก้อ่อนเพลีย ตกเลือด หรือแม้แต่แก้ปวดเมื่อยก็ช่วยได้เช่นกัน เป็นสมุนไพรพื้นบ้านไทยที่นำมาใช้แล้วไม่ผิดหวัง

3. อบเชย

อบเชย สรรพคุณ

          อบเชย หรือชินนามอน (Cinnamon) เป็นสมุนไพรอีกชนิดที่มีสารสำคัญในการช่วยเพิ่มการหลั่งของฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง อีกทั้งยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวานและโรคที่เกี่ยวกับระบบหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย โดยแค่เพียงโรยผงอบเชยลงในอาหารที่รับประทานก็ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้แล้วล่ะค่ะ

4. เห็ดหลินจือ

สมุนไพรรักษาเบาหวาน

          เอีกหนึ่งสุดยอดสมุนไพรจีนล้ำค่าที่อุดมไปด้วยสรรพคุณทางยา ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็งเท่านั้น แต่ยังมีคุณกับผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย เนื่องจากในเห็ดหลินจือมีสารในกลุ่มโพลีแซ็กคาไรด์  (Polysaccharide)  ซึ่งที่มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน อีกทั้งยังช่วยให้น้ำตาลที่อยู่ในเลือดถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานให้แก่ร่างกาย และทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง

5. บอระเพ็ด

บอระเพ็ด

          สมุนไพรรสชาติขมอีกชนิดที่อยากให้คุณได้ลอง เพราะเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่อยู่ในตำรับยาไทย ช่วยบำรุงหัวใจ ลดไข้ และช่วยให้เจริญอาหาร ที่สำคัญมีการศึกษาแล้วว่าบอระเพ็ดมีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยไม่พบผลข้างเคียงอันตรายใด ๆ อีกด้วย ทว่าอาจจะรับประทานยากเพราะขม แต่อย่าลืมนะว่าหวานเป็นลมขมเป็นยา

6. ตำลึง

12 สมุนไพรเพื่อผู้สูงอายุ

          ตำลึง สมุนไพรที่ถูกนำมาใช้รักษาเบาหวานนานนับพันปี โดยตำราแพทย์แผนอายุรเวทระบุไว้ว่า ตำลึงสามารถใช้ในการรักษาโรคเบาหวานได้แทบจะทุกส่วนของต้น ไม่ว่าจะเป็นราก เถา หรือใบ อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีพอ ๆ กับโสม แค่เพียงรับประทานตำลึงเพียงวันละ 50 กรัม ติดต่อกันเป็นประจำทุกวันก็สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้เป็นปกติได้

7. มะเขือพวง

สมุนไพรรักษาเบาหวาน

          มะเขือพวงที่คนไทยนิยมใส่ลงในอาหารไทยหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นแกงเขียวหวาน พะแนง หรือในน้ำพริกต่าง ๆ นอกจากสรรพคุณทางยาพื้นบ้านของไทยแล้ว มะเขือพวงก็ยังสามารถช่วยลดรับระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย โดยมีการศึกษากับหนูทดลองพบว่า น้ำมะเขือพวงสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ขณะที่สรรพคุณในการช่วยย่อยอาหารก็เด่นไม่เป็นรองใคร หากคราวหน้าเจอมะเขือพวงในอาหารอย่าเขี่ยทิ้งล่ะ

8. ชาเขียว
สมุนไพรรักษาเบาหวาน
 
          สารโพลีฟีนอลในชาเขียวเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระอันทรงพลังที่ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย โดยสามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยส่งเสริมการทำงานของอินซูลิน แถมยังเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยในการลดน้ำหนัก แต่ก็ควรจะดื่มชาเขียวแท้ ๆ นะคะ แบบที่เติมน้ำตาลเยอะ ๆ นั้นเลี่ยงให้ไกลเลยโดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน ไม่งั้นอาจจะได้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาแทน

9. กระเทียม

สมุนไพรรักษาเบาหวาน

          สารอัลซิลิน (allicin) ที่มีในกระเทียมนอกจากจะมีสรรพคุณลดความดันโลหิตและลดไขมันในเลือดได้แล้ว ก็ยังมีฤทธิ์ต่อต้านโรคเบาหวาน อีกทั้งมีการศึกษาพบว่าเอทานอลที่อยู่ในกระเทียมสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยเพิ่มการหลั่งของอินซูลินได้ ซึ่งถ้าอยากให้ได้ประโยชน์จากกระเทียมแบบเน้น ๆ อย่างนี้ก็ควรจะรับประทานกระเทียมแบบสด ๆ เพราะกระเที่ยมที่ผ่านความร้อนแล้วจะมีคุณค่าทางโภชนาการน้อยกว่ากระเทียมสดค่ะ

10. ว่านหางจระเข้

สมุนไพรรักษาเบาหวาน

          ไม่เพียงแต่ช่วยลดการบวม อาการอักเสบ และช่วยสมานแผลได้เท่านั้น แต่ว่านหางจระเข้ยังเป็นสมุนไพรที่เหมาะจะใช้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย เพราะมีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าน้ำของว่านหางจระเข้สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน ทั้งนี้ก็ยังช่วยลดระดับไขมันในเลือด และสรรพคุณพื้นฐานของว่านหางจระเข้ที่ช่วยลดอาการบวมและรักษาแผลก็ยังสามารถใช้กับผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วย เพราะผู้ป่วยเบาหวานที่เกิดบาดแผลมักจะมีปัญหาแผลหายช้าทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย

11. ขมิ้น

สมุนไพรรักษาเบาหวาน

          สมุนไพรที่ให้สีเหลืองสดใสนี้ นอกจากจะช่วยลดอาการอักเสบได้แล้วก็ยังสามารถชะลอการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ โดยพบว่าคนที่มีความเสี่ยงโรคเบาหวานหากรับประทานอาหารที่มีสารเคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในขมิ้นติดต่อกันเป็นประจำ_จะช่วยให้ความเสี่ยงโรคเบาหวานลดลง ทั้งนี้มีการสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเพราะสารเคอร์คูมินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง จึงช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายได้นั่นเอง

12. ขิง

สมุนไพรรักษาเบาหวาน

          ขิงมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งศึกษากับหนูทดลองพบว่า หนูที่ได้กินสารสกัดจากขิงวันละ 250 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์ ผลที่ได้รับคือ ระดับกลูโคสในเลือดของหนูลดลง รวมทั้งยังช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ทั้งนี้ก็ยังส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของปริมาณอินซูลินด้วย

13. กระเจี๊ยบเขียว

สมุนไพรรักษาเบาหวาน

          พืชพื้นเมืองของเอธิโอเปียที่เป็นหนึ่งในผักเคียงในจานน้ำพริกของคนไทยอย่างกระเจี๊ยบเขียว เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และคุณค่าทางโภชนาการสูงลิบ อีกทั้งยังมีสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือด เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวมีไฟเบอร์สูง โดยเฉพาะไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้สามารถช่วยลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลและน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายได้ นอกจากนี้ยังหารับประทานไม่ยากเลยล่ะค่ะ
14. โสม

โสมเกาหลี

          ด้วยสรรพคุณอันน่าอัศจรรย์อย่างการเพิ่มภูมิคุ้มกัน และต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ทำให้โสมเป็นสมุนไพรที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสมุนไพรล้ำค่า โดยมีการค้นพบว่าการรับประทานโสมสามารถช่วยชะลอการดูดซึมของคาร์โบไฮเดรต และเพิ่มการทำงานของเซลล์ ช่วยให้เซลล์สามารถดึงเอากลูโคสไปใช้งานได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มการหลั่งของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง 15-20% เลยทีเดียว

15. ผักเชียงดา
สมุนไพรรักษาเบาหวาน

          สมุนไพรอีกหนึ่งชนิดที่ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคเบาหวานแบบพื้นบ้านมานานนับพันปี นอกจากคุณประโยชน์ในการช่วยเสริมกำลังแล้ว ผักเชียงดายังสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยเจ้าผักชนิดนี้จะนำเอาน้ำตาลในร่างกายไปเผาผลาญมากขึ้น อีกทั้งยังเข้าไปฟื้นฟูเบต้าเซลล์ของตับอ่อนที่เสียหายจากการถูกน้ำตาลทำลาย ซึ่งเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งชนิดที่ 1 และ 2 ทั้งนี้ยังช่วยลดโอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน แถมยังเพิ่มการหลั่งอินซูลินได้อีกด้วยล่ะ ดีแบบนี้ขอบอกว่าผักเชียงดานั้นมีให้รับประทานง่าย ๆ แบบแคปซูลกันแล้ว ลองหามารับประทานกันได้ค่ะ

          แม้ว่าการใช้สมุนไพรจะช่วยรักษาอาการเบาหวานได้ แต่ก็อย่าลืมว่าสมุนไพรบางชนิดอาจส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย หากคิดจะใช้สมุนไพรควบคู่กับการรักษาละก็ ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรก่อนจะดีที่สุดค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
คลังข้อมูลงานวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
diabetes.co.uk
healthunlocked.com
rd.com
healthline.com

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

น้ำใบบัวบก เครื่องดื่มสุขภาพแก้ช้ำใน ชะลอวัย

 น้ำใบบัวบก เครื่องดื่มสุขภาพแก้ช้ำใน ชะลอวัย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           ถ้าพูดถึงใบบัวบกก็มักจะมาคู่กับอาการอกหักที่เรามักจะได้ยินอยู่เสมอกับประโยคหยอกล้อว่า ดื่มใบบัวบกแก้ช้ำในหน่อยไหม? อะไรทำนองนี้ แต่อาการช้ำในที่ว่านั่นคือ ใบบัวบกจะช่วยทำให้รอยแผลฟกช้ำดำเขียวหายไปได้เร็วขึ้น

          ใบบัวบกเป็นสมุนไพรไทยฤทธิ์เย็น มีสีเขียวเข้ม กลิ่นเหม็นเขียวนิดหน่อย ทำให้หลายคนไม่นิยมรับประทาน นอกจากใบบัวบอกจะช่วยแก้อาการฟกช้ำดำเขียว ลดอาการอักเสบปวดบวมของผิวหนังแล้ว ยังมีวิตามินเอสูงช่วยในการบำรุงสายตา ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ลดไข้ตัวร้อนได้ดีอีกด้วย อีกทั้งยังมีผลวิจัยพบว่า ในใบบัวบกมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ได้อีกด้วย วันนี้เราจึงนำสูตรน้ำใบบัวบกมาฝาก ลองทำดื่มกันดูเพื่อสุขภาพนะคะ

สิ่งที่ต้องเตรียม


          ใบบัวบก 600 กรัม

          น้ำ 6 ถ้วย

          ใบเตย มัดเป็นปม 2-3 ใบ

          น้ำเชื่อม 1 1/2 ถ้วย

 วิธีทำ

          1. ล้างใบบัวบกให้สะอาด สะเด็ดน้ำออกจนหมด จากนั้นหั่นเป็นท่อนสั้น ๆ เตรียมไว้

          2. ต้มน้ำกับใบเตยจนเดือด พักทิ้งไว้จนน้ำอุ่น

          3. แบ่งใบบัวบกเป็น 6 ส่วน ทยอยใส่ลงในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำต้มสุกที่อุ่นแล้ว 1 ถ้วยลงปั่นจนละเอียดเป็นน้ำ ทำซ้ำจนหมด ยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง เอาแต่เฉพาะน้ำ เตรียมไว้

          4. ใส่น้ำเชื่อมลงในน้ำใบบัวบก คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ใส่น้ำแข็งลงในแก้ว เทน้ำใบบัวบกใส่ลงไป พร้อมดื่ม หรือเทขวดปิดฝาให้สนิท นำเข้าตู้เย็น เก็บไว้ดื่มได้

         ถ้าเกิดเป็นแผลฟกช้ำดำเขียวขึ้นมาเกรงว่าทายาแล้วจะหายยาก ก็ลองดื่มน้ำใบบัวบกเข้าไปสักแก้ว อาจจะทำให้อาการบวมของคุณหายเร็วขึ้นก็ได้นะคะ

7 ตำแหน่งนวดกดจุดคลายเครียดด้วยตัวเอง


7 ตำแหน่งนวดกดจุดคลายเครียดด้วยตัวเอง
7 ตำแหน่งนวดกดจุดคลายเครียดด้วยตัวเอง
การนวด ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดีทีเดียว เพราะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของระบบโลหิต ทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง และสบายตัว เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ชอบปวดหัว ปวดเมื่อยไหล่ หลัง แล้วก็ต้นคอ เป็นที่สุดค่ะ โดยมีหลักการง่ายๆ คือให้ใช้ปลายนิ้วที่ถนัดทำการกด ซึ่งการกดในที่นี้หมายถึง การกดและการปล่อยผ่อนคลาย ทำการกดนานครั้งละ 10 วินาที แต่ใช้เวลาปล่อยผ่อนคลายนานกว่าเวลากด การกดต่อจุดควรนวดซ้ำ 3-5 ครั้งนะคะ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามัวรอช้าไปนวดกันดีกว่าค่ะ
1. การนวดกดบริเวณจุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว ใช้นิ้วที่ถนัดกด 3-5 ครั้ง
2. การนวดกดที่จุดใต้หัวคิ้ว โดยใช้ปลายนิ้วที่ถนัดกด 3-5 ครั้ง
3. จุดขอบกระดูกท้ายทอย จะมีอยู่ด้วยกัน 3 จุด จุดกลาง ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือกด 3-5 ครั้ง ส่วนจุดสองจุด ด้านข้างให้ใช้วิธีการประสานมือบริเวณท้ายทอยแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้าง กดจุดพร้อมๆ กัน 3-5 ครั้ง
4. นวดกดบริเวณต้นคอ โดยให้ประสานมือบริเวณท้ายทอย ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้าง กดตามแนวสองข้างของกระดูกต้นคอ โดยกดไล่จากบริเวณตีนผมลงมาถึงบริเวณบ่า 3-5 ครั้ง
5. นวดกดบริเวณบ่าใช้ปลายนิ้วมือขวาบีบไหล่ซ้าย ไล่จากบ่าเข้าหาต้นคอ ใช้ปลายนิ้วมือซ้ายบีบไหล่ขวา ไล่จากบ่าเข้าหาต้นคอทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
6. การนวดกดจุดบริเวณบ่าด้านหน้า ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือกดจุดใต้กระดูกไหปลาร้า จุดต้นแขนและจุดเหนือรักแร้ของบ่าซ้าย แล้วใช้นิ้วแม่มือซ้ายกดจุดเดียวกันที่บ่าขวา ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
7. การนวดกดจุดบริเวณบ่าด้านหลัง ให้ใช้นิ้วที่ถนัดของมือขวาอ้อมไปกดจุดบน และจุดกลางของกระดูกสะบักและจุดรักแร้ด้านหลังของบ่าซ้าย ใช้นิ้วที่ถนัดของมือซ้ายกดจุดเดียวกันที่บ่าขวา ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
เห็นมั้ยคะว่าทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ใครที่กำลังปวดเมื่อยและเหนื่อยจากความเครียดในการทำงาน ลองนำไปทำดูนะคะ รับรองว่าหายเป็นปลิดทิ้งแน่นอน
ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสารเรื่องผู้หญิง ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

คำศัพท์บทที่ 14 องค์กรและการจัดการไร้พรมแดนของเทคโนโลยีสารสนเทศ

1.การพัฒนากลยุทธ์ = Strategy Development
2.แฟ้มสะสมงาน = Application Portfolios
3.สถาปัตยกรรมเทคโนโลยี Technology Architecture
4.ความท้าทายเศรษฐกิจภูมิภาค Geoeconomics Challenges
5.การจัดการทรัพยากร = Resource Management
6.การวิเคราะห์การพิมพ์ Keystroke analysis
7.การจัดการข้อมูล Data Management
8.การจัดการไอทีไร้พรมแดน Global IT Management
9.เทคโนโลยีแบบแนวราบ = Technology Platforms
10.การพัฒนาระบบ = Systems Development

บทที่ 14 องค์กรและการจัดการไร้พรมแดนของเทคโนโลยีสารสนเทศ

2. ความล้มเหลวในการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
จากงานวิจัยของ Whittaker (1999: 23) พบว่า ปัจจัยของความล้มเหลวหรือความผิดพลาดที่เกิดจากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์การ มีสาเหตุหลัก 3 ประการ ได้แก่
  1. การขาดการวางแผนที่ดีพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนจัดการความเสี่ยงไม่ดีพอ ยิ่งองค์การมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด การจัดการความเสี่ยงย่อมจะมีความสำคัญมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านนี้เพิ่มสูงขึ้น
  2. การนำเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้งาน การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในองค์การจำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจหรืองานที่องค์การดำเนินอยู่ หากเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่สอดรับกับความต้องการขององค์การแล้วจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา และเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ
  3. การขาดการจัดการหรือสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง การที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้งานในองค์กร หากขาดซึ่งความสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงแล้วก็ถือว่าล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น การได้รับความมั่นใจจากผู้บริหารระดับสูงเป็นก้าวย่างที่สำคัญและจำเป็นที่จะทำให้การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์การประสบความสำเร็จ
สำหรับสาเหตุของความล้มเหลวอื่น ๆ ที่พบจากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เช่น ใช้เวลาในการดำเนินการมากเกินไป (Schedule overruns), นำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยหรือยังไม่ผ่านการพิสูจน์มาใช้งาน (New or unproven technology), ประเมินแผนความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศไม่ถูกต้อง, ผู้จัดจำหน่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (Vendor) ที่องค์การซื้อมาใช้งานไม่มีประสิทธิภาพและขาดความรับผิดชอบ และระยะเวลาของการพัฒนาหรือนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้จนเสร็จสมบูรณ์ใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งปี
นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ไม่ประสบความสำเร็จในด้านผู้ใช้งานนั้น อาจสรุปได้ดังนี้ คือ
  1. ความกลัวการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ผู้คนกลัวที่จะเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งกลัวว่าเทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามาลดบทบาทและความสำคัญในหน้าที่การงานที่รับผิดชอบของตนให้ลดน้อยลง จนทำให้ต่อต้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
  2. การไม่ติดตามข่าวสารความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก หากไม่มั่นติดตามอย่างสม่ำเสมอแล้วจะทำให้กลายเป็นคนล้าหลังและตกขอบ จนเกิดสภาวะชะงักงันในการเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
  3. โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศกระจายไม่ทั่วถึง ทำให้ขาดความเสมอภาคในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเกิดการใช้กระจุกตัวเพียงบางพื้นที่ ทำให้เป็นอุปสรรคในการใช้งานด้านต่าง ๆ ตามมา เช่น ระบบโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ฯลฯ
ประเด็นปัญหาและอุปสรรคต่อมาตรฐานการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
ประเด็นแรก เกี่ยวกับ Hardware สถานศึกษาหลายแห่งโดยเฉพาะที่อยู่ชนบทห่างไกล หรือเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีจำนวนเครื่องไม่เพียงพอ ขาดงบประมาณสนับสนุน เครื่องที่ได้จากการบริจาคบางที่เป็นเครื่องที่ล้าสมัย ความเร็วต่ำ จำนวนเครื่องต่อคนใช้ในอัตราสูง ( สถานศึกษาร้อยละ 55 ใช้คอมพิวเตอร์ 1 เครื่องต่อนักเรียน 20 คน ร้อยละ 25 ใช้คอมพิวเตอร์ 1 เครื่องต่อนักเรียน 21-40 คน ส่วนที่เหลือมีสัดส่วนนักเรียนมากกว่า 40 คนต่อ 1 เครื่อง : ข่าวสด หน้า 28 - วันที่ 05 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6306 )
ประเด็นที่สอง เกี่ยวกับ Software เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยีด้านโปรแกรม เป็นไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นในการพัฒนาโปรแกรมใช้งานของโรงเรียนให้ทันสมัยอยู่เสมอก็เป็นเรื่องลำบาก ติดปัญหาตรงที่สภาพเครื่องไม่รองรับโปรแกรมบ้าง ขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจบ้าง
ประเด็นที่สาม คือด้านการบริหารจัดการ โรงเรียนให้ความสำคัญกับการมีเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายเพื่อใช้ในกิจกรรมต่าง ๆในโรงเรียน (เพราะมีผลต่อการประเมินภายนอกของ สมศ. ในมาตรฐานที่ 5 และ 10 ด้วย) แต่ยังประสบปัญหาด้านงบประมาณในการจัดหา ดูแลรักษา ระบบการวางแผนใช้งาน และการติดตามประเมิน
ประเด็นที่สี่ คือด้านบุคลากรซึ่งถือว่าเป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญ เพราะเหล่านโยบาย มาตรฐานต่างๆ ที่เขียนขึ้นมาต้องอาศัยการขับเคลื่อนจากบุคลากร โดยเฉพาะครู ปัญหาการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวกับบุคลากรซึ่งมักจะได้ยินได้ฟัง หรือพบเห็นตามสื่อสิ่งพิมพ์ บนกระทู้ต่าง ๆ จากอินเตอร์เน็ต เช่น โรงเรียนขาดครูที่จบทางด้านนี้โดยตรง ครูไม่มีความรู้ด้านการใช้งาน ICT ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะจัดงบประมาณส่งเสริมด้านนี้ในแต่ละปีมากพอสมควร แต่พฤติกรรมหลังการอบรมแล้วครูไม่ได้ใช้ความรู้จากการอบรม หรือใช้ก็ส่วนน้อย อาจจะติดขัดที่เรื่องประเด็นเวลา หรือภาระงานที่มากเกินไป หรือบางครั้งเมื่อนำไปใช้แล้วประสบปัญหาเกิดความท้อถอย ปัญหาด้านทัศนคติของครูต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อาจจะเห็นว่าการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเรื่องยุ่งยาก ซึ่งอาจจะมาจากเรื่องของภาษาในโปรแกรม โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ การใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในโปรแกรมซับซ้อนเข้าใจยาก ปัญหาด้านพฤติกรรมการใช้งาน ที่พบบ่อย ๆ คือ การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องพิมพ์ดีดราคาแพง นักเรียนใช้เครื่องเพื่อการบันเทิงเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มีมากกว่าการใช้เพื่อการเสาะแสวงหาความรู้จากเทคโนโลยีสารสนเทศ
ปัญหาเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของการดำเนินงานตามนโยบายและมาตรฐานการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา ที่ทุกคนทุกฝ่ายต้องการเห็นการนำมาใช้อย่างจริงจังเพื่อการพัฒนาการศึกษาของชาติก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ คำตอบที่สำคัญจึงอยู่ที่ตัวครู ทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการ เพราะครูคือพลังขับเคลื่อนการศึกษาที่สำคัญ หากครูไม่ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการเรียนการสอน อย่างจริงจัง ครูยังใช้วิธีการสอนแบบเดิม ๆ และไม่พัฒนาศักยภาพด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้แล้ว แนวนโยบายและมาตรฐานการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษาที่กำหนดขึ้นมาก็คงเป็นแค่ความหวังที่อยากให้มี มากกว่าที่จะเป็นรูปธรรมจริง
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษาของหน่วยงานทางการศึกษาและที่เกี่ยวข้อง มีลักษณะเป็นไปอย่างอิสระทำให้ขาดความเป็นเอกภาพ ประกอบกับขาดความพร้อมทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร และอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อเชื่อมระบบซอฟแวร์ เป็นต้น ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ อันได้แก่ ปัญหาการผลิตข้อมูลปฐมภูมิที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วนตามที่ผู้ต้องการใช้ ปัญหาการจัดเก็บข้อมูลทุติยภูมิ ปัญหาการประสานงานเครือข่าย รวมทั้งปัญหาการดำเนินงานสารสนเทศ ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ส่งผลไปถึงการจัดการศึกษาที่ต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินงาน
จากปัญหาข้างต้น จึงจำเป็นจะต้องพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา โดยมีพื้นฐานอยู่บนหลักการพัฒนาร่วมกันระหว่างหน่วยงานทางการศึกษาและที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถประสานการดำเนินงาน และการนำทรัพยากรมาใช้ในการบริหารการวางแผนการจัดการศึกษา และการฝึกอบรมร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแบ่งได้เป็น
1. ด้านการกระจายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการศึกษา มีสถานศึกษาจานวนหนึ่งที่โทรศัพท์ยังเข้าไม่ถึง และคอมพิวเตอร์ยังไม่มีหรือมีแต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ และที่มีอยู่ก็ขาดการบำรุงรักษา รวมทั้งไม่อยู่ในสภาพที่ใช้การได้ แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการศึกษาโดยเฉพาะคู่สายโทรศัพท์ยังมีบริการไม่ทั่วถึง อาจจะเป็นไปได้ว่าสถานศึกษาเหล่านี้อยู่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล ดังนั้นสถานศึกษาต้องรีบดำเนินการเพราะเป็นพื้นฐานที่จะไปสู่ระบบอินเทอร์เน็ต
2. ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ครูใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพครูน้อยมาก และคอมพิวเตอร์มีจำนวนไม่พอกับความต้องการที่ครูจะใช้
แสดงให้เห็นว่าครูยังต้องได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อีกเป็นจำนวนมาก และสถานศึกษาก็ต้องจัดหาคอมพิวเตอร์ให้เพียงพอต่อความต้องการของครู
3. ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการและให้บริการทางการศึกษา สถานศึกษายังขาดรูปแบบระบบสารสนเทศ ผู้บริหารให้มีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับเบื้องต้น แสดงให้เห็นว่าสถานศึกษายังไม่มีระบบข้อมูลสารสนเทศที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ผู้บริหารต้องได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารเสนเทศและการสื่อสารเพื่อให้เกิดความตระหนักและเห็นความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จะนำมาพัฒนาการบริหารจัดการและการบริการทางการศึกษา
4. ด้านการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาตนเองของครูด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศยังขาดความต่อเนื่อง บางคนใน 3 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยไปเข้ารับการฝึกอบรมด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเลย แสดงให้เห็นว่า ครูได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารยังไม่ทั่วถึงเพราะมีครูอีกจำนวนหนึ่งที่ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยได้รับการอบรมด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเลย
สรุป
ในการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาอาจเกิดผลกระทบด้านต่าง ๆ ตามมา ทั้งผลกระทบต่อผู้ใช้นวัตกรรมคือผู้สอน หรือผู้บริหาร และผลกระทบต่อผู้เรียน เช่น ปัญหาการปรับพฤติกรรมการสอนของครูผู้สอน ปัญหาด้านสุขภาพที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยี ปัญหาด้านงบประมาณในการจัดหาเทคโนโลยี เป็นต้น นอกจากผลกระทบต่อการศึกษาโดยตรงแล้วยังมีผลกระทบต่อด้านอื่น เช่น ปัญหาสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาต่อเศรษฐกิจ เป็นต้น ดังนั้นผู้ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาควรเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของสิ่งเหล่านี้ เพื่อเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพต่อการศึกษามากที่สุด

บทที่ 14 องค์กรและการจัดการไร้พรมแดนของเทคโนโลยีสารสนเทศ

1. หน้าที่การจัดการของระบบสารสนเทศ
       ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ หมายถึง ระบบที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้งภายใน และภายนอกองค์การอย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อนำมาประมวลผลและจัดรูปแบบให้ได้ สารสนเทศที่ ช่วยสนับสนุนการทำงาน และการตัดสินใจในด้านต่าง ๆ ของผู้บริหารเพื่อให้การดำเนินงานของ องค์การ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่เราจะเป็นว่า MIS จะประกอบด้วยหน้าที่หลัก ประการคือ
          
1. สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งจากภายในและภายนอกองค์การ มาไว้ด้วยกัน อย่างเป็นระบบ
         2. สามารถทำการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ช่วยสนับสนุน การปฏิบัติงานและการบริหารงานของผู้บริหาร
 
  รูปที่ หน้าที่หลักของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
            ชุมพล ศฤงคารศิริ (2537 : 2) ให้ความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ เป็นระบบที่รวม (integrate) ผู้ใช้ (user) เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ (machine) เพื่อจัดทำสารสนเทศ สำหรับสนับสนุน การปฏิบัติงาน (operation) การจัดการ (management) และการตัดสินใจ (decision making) ในองค์กรจาก ความหมายที่กล่าวมาสามารถสรุปความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการได้คือ การรวบรวมและการจัดเก็บข้อมูล จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์การ ทั้งจากภายใน และภายนอก หน่วยงาน เพื่อนำมาประมวลผล และจัดรูปแบบ ให้ได้สารสนเทศที่เหมาะสมกับองค์การ ในการช่วยในการตัดสินใจ ประสานงาน และควบคุมของผู้บริหาร ในอันที่จะ ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


คำศัพท์บทที่ 13 ความปลอดภัย และความท้าทายด้านจริยธรรม

1.Introduction=การแนะนำ
2.Computer=คอมพิวเตอร์
3.Crime=อาชญากรรม
4.Security=ความปลอดภัย
5.Measures=การวัด
6.Audits=ตรวจสอบ
7.Society=สังคม
8.Challenge=ท้าทาย
9.Tube=หลอด
10.Guidelines=แนวทาง